“ครอบครัว คือ แรงผลักดัน ทำให้รู้ว่าที่เราเหนื่อยทุกวันนี้ เราดิ้นรน เราทนกับทุกข์ต่างๆ นานา ก็เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่อยู่สบาย”
ถ้าไม่เคยรู้ประวัติความเป็นมาของ “กระแต” สาวสวยหุ่นบางที่อยู่ตรงหน้า ว่าเคยมีดีกรีเป็นถึงแชมป์มวยไทยหญิงแห่งประเทศไทย รุ่น 45 กิโลกรัม ก่อนจะมาเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดังรุ่นบุกเบิกในสังกัดค่ายเพลงอาร์สยามและนักแสดง ช่อง 8ก็คงจะนึกประหลาดใจกับเรื่องราวของเธอ “กระแต อาร์สยาม” หรือ “นางสาว แตร บุญยะเลี้ยง” ราชินีแดนซ์คนล่าสุดของเมืองไทยคนนี้ ว่ามีวิถีของความเป็นนักสู้เต็มตัว ด้วยแรงผลักดันที่สำคัญจนทำให้เธอประสบความสำเร็จ ซึ่งเปรียบเสมือน Core value คือ Passionate ที่ชาว RS Group ยึดถือปฏิบัติเป็นค่านิยมองค์กรมาตลอดเช่นกัน
ประวัติ “กระแต อาร์สยาม” วิถีนักสู้จากสังเวียนมวยไทย สู่เวทีคอนเสิร์ตในบทนักร้องดัง
กระแต อาร์สยามกล่าวว่า “ด้วยความที่พ่อชอบมวยไทยมาก แล้วตอนนั้นยังไม่มีลูกชายก็เลยปลูกฝังให้ลูกสาวดูมวยจนเราเองก็ชอบไปด้วย ตอนช่วงอายุ 12 ขวบกำลังซนเลย ก็ไปลองเตะกระสอบทรายที่ค่ายมวยข้างบ้าน เค้าเห็นเราหน่วยก้านดีก็เลยจับขึ้นเวทีชก พ่อก็ยิ่งสนับสนุน แต่ว่าแม่ไม่ชอบเลย (หัวเราะ) แม่จะห้ามตลอด เพราะเราเป็นลูกผู้หญิง เราก็จะแอบไปต่อยกับพ่อ ๆ ก็จับเราขึ้นชกบนเวทีมวยจนได้เป็นแชมป์มวยไทยหญิงและเริ่มมีชื่อเสียง”
“อีกส่วนหนึ่งเราก็โตมากับครอบครัวที่มีวงดนตรี พ่อกับแม่เป็นนักร้อง เราก็เลยร้องเพลงตั้งแต่จำความได้คือ 5 ขวบ ควบคู่กับการต่อยมวย ยังคิดว่าถ้าเราไม่ได้เป็นนักมวยก็คงจะเป็นนักร้องธรรมดาคนหนึ่ง แต่พอดีเรามีชื่อจากการเป็นแชมป์มวยไทยหญิงระดับประเทศไทย ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในวงการมวยไทย เค้าก็เลยตั้งฉายาให้เราเป็นนักร้องนักมวย เป็นคาแรคเตอร์ที่คนอื่นจำเราได้ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”
แรงผลักดันที่ทำให้ “กระแต อาร์สยาม” เป็นนักสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จ
“แรงผลักดันของกระแตคือครอบครัวค่ะ แต่ตอนเด็กๆ เราคิดแค่ว่า ‘หนูอยากมีตังค์ให้แม่’ ซึ่งเรายังไม่ได้ขยายความว่ามันคืออะไร พอโตขึ้นมาเราเริ่มรู้ว่าเราเหนื่อยทุกวันนี้เพื่ออะไร เราดิ้นรน เราทนกับทุกข์ต่าง ๆ นานา บางคนอาจจะมองว่าศิลปินดูเป็นชีวิตที่สบาย แต่จริงๆ แล้วเราแบกรับอะไรหลายอย่างมาก บางช่วงชีวิตที่เราเจอดราม่า ทุกอย่างที่เราผ่านไปได้ สุดท้ายเรากลับมามองที่ว่าเราทำเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่อยู่สบาย เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีชื่อหรือเราจะดับตอนไหน หรือเราจะจากเค้าตอนไหน ถ้าเราไปโดยที่เรายังห่วงอยู่เราก็ไม่สบายใจ ก็เลยคิดว่าอย่างน้อยเราทำให้เค้าได้อยู่สุขสบายก็พอแล้วค่ะ” กระแต อาร์สยามกล่าว
“กระแต อาร์สยาม” เป็นศิลปิน Rsiam / RS Group รุ่นบุกเบิก จนถึงวันนี้ มีการ Rebranding ทั้งเปลี่ยนโลโก้ ย้ายตึกใหม่ รู้สึกยังไงบ้าง
“ดีใจนะคะ เพราะเกือบ 20 ปีที่อยู่บ้านหลังนี้ อาร์สยาม / อาร์เอส ก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่ การเติบโตอย่างชัดเจน จากตึกเล็ก ๆ ตอนนี้ก็มีตึกใหม่ อาร์เอส กรุ๊ป ที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็เป็นความรู้สึกว่าเราได้อยู่ในช่วงเวลาที่ได้เห็นการเติบโตขององค์กรเรา ได้เห็นการรีแบรนดิ้ง คือมีการปรับโลโก้ใหม่ เห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งศิลปินที่อยู่ในยุคตอนนั้น และมาถึงยุคนี้ ทั้งในเรื่องของเพลง และธุรกิจคอมเมิร์ช ที่ทำให้รู้สึกมั่นใจว่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้อีกแน่นอนค่ะ”
ในฐานะที่ “กระแต อาร์สยาม” เคยเรียนคณะสถาปัตย์ มองตึกใหม่ RS Group ยังไงบ้าง
“ต้องบอกว่า ตึกใหม่ RS GROUP ดูไม่เหมือนตึกทั่วไป แต่ดูเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โมเดิร์น และดูไม่เหมือนเป็นตึกที่อยู่ในประเทศไทย (หัวเราะ) โดยเฉพาะภายในตึก มีความกว้างขวาง โอ่โถง ยิ่งใหญ่ และดูทันสมัย อย่างประตูบานเลื่อนที่ดูเหมือนไม่ใช่ประตู แต่เป็นประตู แตชอบการออกแบบนะคะ มีมุมสวย ๆ มีมุมที่ทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ในโลกใหม่”
ที่ผ่านมา “กระแต อาร์สยาม” เป็นทั้งแชมป์มวยไทยหญิง นักร้องดังระดับประเทศ เป็นดารานักแสดงมากฝีมือ ปัจจุบันยังเป็นนักธุรกิจ อนาคตยังวางแผนจะทำอะไรอีกมั้ย
“มี 2 เรื่องใหญ่ ๆ ที่อยากทำ คือ อยากให้รางวัลตัวเองแบบไปเที่ยวพักผ่อนรอบโลกค่ะ เพราะแตไม่เคยได้พักเที่ยวจริง ๆ มาก่อนเลยในชีวิต แต่พอปีที่แล้วแตต้องอยู่โรงพยาบาลเดือนหนึ่งเต็ม ๆ มันทำให้มีเวลาคิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่าง เหมือนเป็นจุดเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ แตไม่มีเวลาคุยกับตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าเราเหนื่อยขนาดนี้เพื่ออะไร ถ้าเราต้องเหนื่อยแล้วมาเข้าโรงพยาบาล”
“อย่างที่สอง โกอินเตอร์ อยากเป็นศิลปินไทยที่ได้โชว์ที่ต่างประเทศ ให้ทั่วโลกได้เห็นความสามารถของศิลปินไทย อยากให้ชาวต่างชาติได้ฟังลูกเอื้อนของเรา ลักษณะการร้องของเรา ที่เรานำไปเชื่อมกับความเป็นสากล ก็น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่น่าตื่นเต้นและเป็นอะไรที่ใหม่ เพราะเพื่อนชาวต่างชาติบอกไม่เคยได้ยินลูกเอื้อนของลูกทุ่งแบบนี้ เค้ารู้สึกว่ามันเป็นการ improvise ที่เค้าทำไม่ได้ เป็นความสามารถพิเศษที่สุดยอด ในขณะที่คนไทยมองเพลงลูกทุ่งว่าเชย ไม่แพง บ้าน ๆ แต่เรารู้สึกว่าคำว่าแพง หรือไม่แพง อยู่ที่ตัวเราว่าเราต้องการสื่ออะไร สุดท้ายแล้ว แตอยากให้เป็นลูกทุ่งที่ดูอินเตอร์ ก็อาจจะต้องโดนดราม่า ที่หลายคนมองว่าทำลูกทุ่งเสีย แต่เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็ยอมรับและเข้าใจแล้วว่าโลกมันเปลี่ยน แต่เราหมุนไปเร็วกว่าคนอื่น ที่ตั้งไว้คือภายใน 5 ปี จะพยายามหาลู่ทางที่จะได้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีข่าวดี ฝันนั้นก็ใกล้จะเอื้อมถึงแล้วค่ะ” กระแต อาร์สยามส่งท้ายการสัมภาษณ์ด้วยเป้าหมายในอนาคต