“คำพูดจะถูกคิดจากสมองแล้วกลั่นกรองด้วยหัวใจ มีความสุขทุกครั้งที่คนฟังตอบกลับมาว่า เค้ารับรู้ความจริงใจ มันคือแรงบันดาลใจที่อยากทำให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ วัน”
แม้จะคุ้นเคยกับน้ำเสียง และลีลาการจัดรายการวิทยุของ “คูลเจขวัญ-วรงค์พร วิชัยดิษฐ์” คูลเจชื่อดังแห่งสถานีเพลง COOL fahrenheit ในเครือRS GROUP ที่เปิดไมค์จัดรายการทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงเวลา 12.30 – 15.00 น. หากแต่การได้พูดคุยสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว ในฐานะแขกรับเชิญคนพิเศษของเราในวันนี้ กลับทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ พร้อมทั้งเปิดมุมมองใหม่ๆ ในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน จากวิธีคิด และแนวคิดการสร้างแรงบันดาลใจจากภายในตัวตนของ “คูลเจขวัญ-วรงค์พร”
เปิดเส้นทางและประวัติ คูลเจขวัญ-วรงค์พร กว่าจะมาเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง
“หลังจากเรียนจบได้รับโอกาสได้ทำงานในฐานะพิธีกรประจำสถานีโทรทัศน์ ITV นับว่าเป็นเรื่องที่ทั้งตื่นเต้น ดีใจ และไม่เคยกล้าคาดหวัง เพราะเรียนมาทางด้านสายการเงินการบริหารแบบเต็มตัวมาโดยตลอด ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาทำงานในฐานะสื่อมวลชนอย่างนี้ จึงต้องใช้ความตั้งใจ และความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้แสดงศักยภาพให้ทุกคนยอมรับว่า ถ้าคุณตั้งใจ และฝึกฝน คุณก็สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ คนเก่งไม่น่ากลัวเท่าคนขยัน โดยเฉพาะคนที่ทำตัวเป็นนำเต็มแก้วต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ย่อมไปได้ไม่ไกลเท่ากับคนที่มีใจอยากจะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด”
“หลังจากได้มาทำงานโทรทัศน์แบบเต็มตัว ก็ได้รับโอกาสอันดีอีกครั้ง โดยที่ตอนนั้น คุณวินิจ เลิศรัตนชัย กำลังมองหาพิธีกรผู้หญิง เพื่อจัดรายการคู่กัน โดยเป็นช่วงของการสัมภาษณ์ศิลปินบนคลื่นวิทยุ เลยได้มีโอกาสสัมผัสงานอีกรูปแบบหนึ่งในฐานะกึ่งดีเจกึ่งพิธีกร ซึ่งการได้ร่วมงานกับ คุณวินิจ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในวงการวิทยุ”
“ก้าวต่อมาที่เรียกว่า ได้เป็น ดีเจแบบเต็มตัว คือการได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของ ม.ร.ว.รุจยาภา อาภากร โดยการได้เป็นนักจัดรายการวิทยุแบบเต็มตัวคลื่นเพลงสากลที่กำลังได้รับความนิยมขั้นสุดในช่วงนั้น 94.5 love FM จึงเป็นการปูพื้นฐานนักจัดรายการมาตั้งแต่วันนั้น โดยต้องยกเครดิตทั้งหมดให้ ม.ร.ว.รุจยาภา ผู้ที่เสียสละเวลาเพื่อมาฝึกสอนการจัดรายการ สอนเทคนิค และแนวคิดต่างๆ แบบที่เรียกได้ว่า ทุ่มเทกับลูกศิษย์มากๆ ” คูลเจขวัญ วรงค์พรกล่าว
แนวคิด วิธีการทำงานของคูลเจขวัญ วรงค์พร ในฐานะนักจัดรายการวิทยุ
“แนวคิด และหลักในการทำงาน คืออย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เราใช้เวลาแค่ 2-3 ปี ก็สอนให้คนคนหนึ่งเก่งได้ แต่การที่คนเก่งคนหนึ่งจะเก่งตลอดไปได้ เค้าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะไม่ย่อท้อต่อการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ หากคุณมีแนวคิดแบบนี้ได้ ต่อให้ทำอาชีพอะไรก็จะมีแต่ประสบความสำเร็จ”
“แต่สำหรับอาชีพดีเจนั้น อาจต้องมีความผูกพันเพิ่มมาเป็นพิเศษอีก 1 ข้อ เพราะเราจะรู้สึกรัก และผูกพันกับคนฟังมากๆ เหมือนเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ เราจะกระตือรือร้นหาเรื่องราวดีๆ มาเล่า มาแบ่งปัน อยากให้เค้ารู้เหมือนที่เรารู้ อยากบอกเค้าในสิ่งที่เราคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ มันคือความรักที่อธิบายยากมาก หากคุณได้มีโอกาสสัมผัสกับอาชีพนี้แล้วคุณจะเข้าใจ ว่าคำว่าเพื่อนมันเกิดขึ้นได้ผ่านจากเสียงที่เราสื่อสารออกไปให้เค้ารับรู้ และได้ยิน ยิ่งเวลาหยุดงานหลายๆ วันไป vacation พอคนฟังส่งข้อความมาบอกว่า..
“เมื่อไหร่จะกลับ คิดถึง เปิดมาแล้วไม่เจอ เหมือนชีวิตขาดอะไรไป กลับมาได้แล้ว เที่ยวนานไปแล้ว”
..อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) มันยิ่งตอกย้ำความผูกพันที่มีกับคนฟังแบบสุดๆ”
เรื่องราวความประทับใจจากผู้ฟัง ของคนหลังไมค์
“เรื่องราวประทับใจมีหลายเรื่องมากๆ แต่ประทับใจสุดคงยกให้เรื่องนี้… ตั้งแต่ปี 2540 ที่จัดรายการวิทยุ สมัยนั้นยังใช้เพจเจอร์ติดต่อสื่อสารกัน จะมีคุณผู้ฟังท่านหนึ่ง ส่งข้อความมาทักทายทุกวัน จนเป็นความเคยชินที่คุ้นเคย ผ่านไปอีกหลายปี จนถึงวันที่จะขอลาหยุดจัดรายการเพื่อไปศึกษาต่อที่อเมริกา คุณผู้ฟังท่านนั้น โทรมาหลังไมค์ เพื่อขอคุยร่ำลา และขอที่อยู่ในการส่งจดหมายเพื่อเป็นที่ระลึกไว้ว่าเราเคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน..
..เราคุยกัน ล่ำลากัน.. และขวัญก็ไปเรียนต่อ
ผ่านไปหลายปี กลับมาเมืองไทย วันนั้นจัดรายการอยู่ที่ Cool FM น้อง staco (station coordinator) บอกว่า มีคนโทรมาหลังไมค์ขอคุยด้วย ชื่อว่าคุณจิ๋ว
เราคุ้นชื่อมาก และคาดเดาว่าน่าจะเป็นแฟนรายการเมื่อหลายปีก่อน จึงเดินไปรับสาย และก็ใช่คนที่เราคิดไว้จริงๆ..
จิ๋วดีใจมากที่ได้ยินเสียงเราอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ขอเบอร์ส่วนตัวเราไว้ เพราะโทรหลังไมค์ติดยาก
ผ่านไปอีกเป็นปี จิ๋วทักทายมาเป็นระยะด้วยการส่งข้อความ เขียนข้อมูลส่วนตัวมาบ้างว่าช่วงนี้ป่วยนะ อยู่ที่โรงพยาบาล..เหงา..เปิดเพลงให้หน่อย..อะไรแบบนี้
เราก็เปิดให้ พร้อมส่งกำลังใจให้หายไวๆ นะ..
จนวันหนึ่ง..มีโทรศัพท์เข้ามา..
เป็นเบอร์ของจิ๋ว ซึ่งปกติแล้วเค้าจะไม่เคยโทร แต่ใช้วิธีส่งข้อความเท่านั้น เราคิดในใจว่าคงมีเรื่องอะไรสำคัญแน่ๆ
“พี่ขวัญหรือเปล่าคะ นี่เพื่อนจิ๋วนะคะ ขออนุญาตส่งข่าวว่า จิ๋วเสียแล้ว ถ้าพี่ขวัญสะดวกอยากเชิญมาฟังสวดสักวันค่ะ”
เราตกใจมาก น้ำตาไหล.. แล้วรีบไปฟังสวดในคืนวันนั้นทันที
..ที่วัด..
เราได้เจอหน้าจิ๋วเป็นครั้งแรกจากรูปที่วางหน้าศพ เป็นการเห็นหน้ากันครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่ของจิ๋ว
ท่านเล่าให้ฟังว่า..
“จิ๋วมีปัญหาสุขภาพมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ได้ไปโรงเรียนบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง เพราะเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ตลอด เพื่อนจึงมีไม่มาก มีแค่ไม่กี่คน ช่วงที่รักษาตัวก็มีเพียงแค่วิทยุเป็นเพื่อน เค้าเปิดฟังทุกวัน ฟังช่วงขวัญตลอด เค้ารู้สึกเหมือนเค้ามีเพื่อน ขวัญเป็นเพื่อนเค้า แม้ขวัญอาจไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันนั้นก็ตาม แต่เค้าผูกพันกับเสียงขวัญมาก ตอนขวัญจะไปเรียนต่อ เค้าเสียใจมาก แต่ก็ดีใจมากเมื่อเปิดมาเจอว่าขวัญกลับมาจัดรายการอีกครั้ง หลังผ่านไปหลายปี ยิ่งช่วงหลังๆ มานี่ เค้าต้องอยู่ในโรงพยาบาล เป็นส่วนใหญ่ เค้ายิ่งติดวิทยุมากเพราะคลายความเหงาได้ดี เค้าไม่กล้าโทรไปรบกวน เลยได้แต่ส่งข้อความไปทักทายเป็นระยะ จนถึงวันที่เค้าจากไป คุยกับเพื่อนๆ เค้าว่า..ถ้าเราส่งข่าวให้ดีเจขวัญรู้ คิดว่าเค้าจะมางานไหม เพื่อนเค้าเลยโทรไปหาขวัญ ดีใจมากที่ขวัญมาวันนี้ จิ๋วคงรับรู้ได้เช่นกัน เค้าคงดีใจ ขอบใจที่มางานจิ๋วนะ”
น้ำตาไหลพราก…
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า
“มีคนคอยฟังเสียงเราอยู่นะ”
เค้ารักเราแบบเพื่อน เราก็รักเค้าแบบเพื่อน แม้เราจะไม่เคยเจอหน้ากัน มันเป็นความสัมพันธ์แบบที่อธิบายยาก หากคุณไม่เคยได้สัมผัสจากอาชีพนี้
เป้าหมายการทำงาน และชีวิตของคูลเจขวัญ
“คิดเสมอว่า ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง เป้าหมายสำคัญ ระหว่างทางก็สำคัญเช่นกัน หลายครั้งเวลาเดินทาง เจออุปสรรคก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่างน้อยเราก็มีความสุข มีเรื่องเล่า กับสิ่งรอบตัวเราระหว่างทาง ชีวิตก็เช่นกัน เป้าหมายคือ การส่งมอบความสุข โดยที่ไม่ลืมว่า ระหว่างทางจงหาความสุข และส่งความสุขไปพร้อมๆ กัน”
วิธีสร้างแรงบันดาลใจในแบบคูลเจขวัญ
“..ทำงานเพื่อหวังเงิน คุณก็จะได้แค่เงิน ทำงานด้วยหัวใจ คุณก็จะได้ใจ.. เวลาจัดรายการ คำพูดจะถูกคิดจากสมองแล้วกลั่นกรองด้วยหัวใจ มีความสุขทุกครั้งที่คนฟังตอบกลับมาว่า เค้ารับรู้ความจริงใจ และความตั้งใจได้ มันคือแรงบันดาลใจที่อยากทำให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ วัน”
และก่อนจะแยกจากกัน “คูลเจขวัญ” ยังฝากคติประจำใจ ที่น่านำไปใช้ในชีวิตประจำวันว่า..
“เมื่อชีวิตจริงไม่มีป้ายบอกทาง..บางครั้งคุณต้องเชื่อสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวคุณเอง”
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก FB @COOL J Kwan