การรักษาคนไข้ไม่ใช่แค่สายวิทย์หรือสายศิลป์ แต่ต้องผสมผสานกันแบบไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้ เค้าถึงเรียกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ว่า ใบประกอบโรคศิลป์
ด้วยแรงบันดาลใจในวัยเด็กทำให้เธอเลือกที่จะเข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง ด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ไปพร้อมๆ กับการทำงานสายบันเทิง ทั้งภาพยนตร์ ละคร พิธีกร และคอนเสิร์ต ซึ่งเธอก็สามารถทำได้ดี แม้จะมีหลายๆ คนคิดว่าคนที่เรียนหมอ จะเป็นเด็กสายวิทย์ เนิร์ดๆ มีระบบระเบียบวิธีคิดอยู่ในกรอบ และค่อนข้างจะคนละขั้วกับเด็กสายศิลป์ ที่เน้นงานความคิดสร้างสรรค์ในสายบันเทิง หากแต่หมอเจี๊ยบกลับสามารถผสานทั้งสองศาสตร์ได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อต่อยอดสานฝันความคิดที่อยากช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ จนก่อตั้งมูลนิธิเล็ทส์ บี ฮีโร่ส์ (Let’s be Heroes Foundation) ในรูปแบบฟรีคลินิกเฉพาะทางที่สามารถเคลื่อนที่ไปรักษา รวมทั้งให้ความรู้ทางการแพทย์ในพื้นที่ๆ ห่างไกลและขาดแคลน
หมอเจี๊ยบสามารถผสานระหว่างความบันเทิง กับความเป็นหมอเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
“โดยพื้นฐานเจี๊ยบไม่ใช่เด็กเนิร์ดเลยค่ะ ออกเป็นเด็กเกเรด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เป็นเด็กซนๆ ชอบเล่นเกม เลี้ยงสัตว์ ชอบทำกิจกรรมมากมาย และไม่ได้ชอบเรียนหนังสือ แต่เรารู้ว่าเป้าหมายเราคืออยากเป็นหมอเพราะอยากช่วยคน ก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้เป็นคนละขั้ว เพราะการรักษาคนไข้ไม่ใช่แค่สายวิทย์หรือสายศิลป์ แต่ต้องผสมผสานกันแบบไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้ เค้าถึงเรียกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ว่า ใบประกอบโรคศิลป์”
“จริงๆ แล้วความเป็นหมอกับนักแสดงแทบไม่ต่างกันเลย ศิลปะการแสดงยิ่งทำให้งานทั้ง 2 ด้านไปด้วยกันได้ดีมากขึ้น อย่างเวลาสอบในวิชาแพทย์ก็ไม่ได้มีแค่ภาคทฤษฎี แต่จะมีภาคปฏิบัติ (OSCE) ซึ่งเหมือนเป็นการแสดง ต้องมีการฝึกซ้อมเทคนิคศิลปะการซักประวัติ เพราะการรักษาคนไข้เป็นศิลปะไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว ไม่อย่างงั้นใครแค่อ่านหนังสือจบแล้วก็ไปรักษาคนได้”
จากแรงบันดาลใจวัยเด็กที่เรียนแพทย์เพราะอยากเปิดฟรีคลินิก แต่ปัจจุบันความฝันยิ่งโตตามวัย
“ตอนเด็กๆ เราคิดแค่ว่ามีแต่ฟรีคลินิก แต่พอโตมาเราก็เรียนรู้ว่าความช่วยเหลือไม่ได้มีอยู่แค่กลุ่มเดียว เลยเกิดเป็น มูลนิธิเล็ทส์ บี ฮีโร่ส์ ที่เราสามารถช่วยได้ทั้งคนและสัตว์ ให้ความรู้เรื่องการ CPR การช่วยเหลือ ซึ่งถ้าเราสอนคนหนึ่งได้ เค้าก็สามารถออกไปช่วยเหลือคนได้อีกเยอะแยะมากมายค่ะ”
การได้มาร่วมงานกับ COOLfahrenheit ช่วง COOL Clinic ถือว่าเป็นการสานความฝันอย่างหนึ่ง
“ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ให้ข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพกับผู้ฟังชาว COOL ซึ่งสามารถส่งคำถามที่สงสัยข้องใจเพิ่มเติมเข้ามาให้เราได้ช่วยหาคำตอบ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนด้วย เพราะข้อมูลต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตอาจไม่ได้มีผลวิจัยรองรับเพียงพอจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ เหมือนกับเวลาที่เจี๊ยบไปทำงานที่ไหนๆ อย่างเช่นในกองถ่ายก็จะมีทีมงานมาถามคำถามหรือปรึกษาอาการเจ็บป่วยที่เค้าอยากรู้ เป็นคำถามประเภทที่ไม่กล้าถามคุณหมอเวลาไปโรงพยาบาล แต่กล้าคุยถามกับเจี๊ยบมากกว่า”
Passion ในการทำงานของคุณหมอเจี๊ยบ
“น่าจะเป็นเรื่องเป้าหมายในชีวิตของเรามากกว่า ตอนเด็กๆ Passion ในการทำงานคืออยากไปช่วยคน แต่พอเราเรียนรู้เติบโตมีครอบครัวมีคนรักมีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ เงินก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง เพราะฉะนั้นเรื่องที่อยากช่วยคนในตอนนี้ ก็ได้ช่วยทั้งในฐานะอาชีพหมอ และมีมูลนิธิฯ รองรับแล้ว และมีประชาชนคอยให้การสนับสนุน เป็น Passion ที่เราอยากทำต่อเนื่อง ความสุขที่เราเห็นคนหายป่วยหรือคนที่กำลังทรมานและได้รับการรักษาช่วยเหลือก็เป็นอีกตัวกระตุ้นที่ทำให้เราอยากทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ ไม่หมดไฟ”
“ส่วนเป้าหมายในชีวิตส่วนตัว ก็เป็นอีกหนึ่ง Passion ทั้งเรื่องบ้านที่กำลังสร้างอยู่ การวางแผนเกษียณอายุ การเก็บออมเพื่อในอนาคตเราจะมีชีวิตในแบบที่วาดฝันไว้”
เป้าหมายต่อไปในชีวิตที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ และไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
“ถ้าวันหนึ่งเรามีเงินเพียงพอแล้วก็อยากใช้ชีวิตในบั้นปลายคืออยากเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ทำฟาร์ม ส่วนวันที่เราว่างก็อยากจะไปทำงานในแบบที่ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่อยากทำอยากรักษาคนโดยที่ไม่ต้องการค่าตอบแทนใดๆ เลย นั่นคืองานมูลนิธิฯ ที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ แม้จะเกษียณอายุราชการแล้วค่ะ”