“กี้ค้นพบเคล็ดลับของตัวเองว่าจะใช้ร่างกายจิตวิญญาณในการแสดงยังไงให้เราเล่นเป็นบทบาทอะไรก็ได้ในโลกนี้”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าใจและค้นพบหลักการทำงานในวิชาชีพของตัวเองอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ หากแต่กับดาราสาวมากความสามารถคนนี้ “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” เธอไม่ได้แค่สั่งสมประสบการณ์การแสดงมากว่า 26 ปี แต่เธอเรียนรู้และฝึกฝนจนค้นพบศาสตร์แห่งการแสดงของตัวเอง เป็นเคล็ดลับส่วนตัวที่อยากบอกเล่าเรื่องราวถึงรุ่นน้องด้วยความรู้จากครูระดับตำนานของไทยที่สอนเธอมาอีกที และเป็นความโชคดีที่วันนี้ เรามีโอกาสได้เจอเธอในกองถ่ายทำละคร “ขุมทรัพย์ลำโขง” ทาง ช่อง 8 พร้อมได้สัมภาษณ์บทความพิเศษเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต
“พิงกี้” เข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก เคยคิดมั้ยว่าถ้าไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง เราอยากทำอาชีพอย่างอื่นมั้ย มีอาชีพในฝันมั้ย
พิงกี้-สาวิกา เล่าถึงความฝันในวัยเด็กว่า “ถ้าตั้งแต่เด็กเลยอยากเป็นนักการทูตค่ะ ทำไมถึงอยากเป็น? เจตนาเราก็คืออยากเดินทาง อยากท่องเที่ยว อยากพูดได้หลายภาษาเพราะชอบภาษาต่างประเทศ ชอบที่จะเรียนรู้ ก็เลยแน่วแน่อยากเป็นนักการทูตแบบไม่คิดถึงอาชีพอื่นเลยในตอนเด็กนะคะ แต่พอโตมาหรือยังไม่ทันโตเลยอายุแค่ 8 ขวบก็ได้เล่นละครแล้ว (หัวเราะ) เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วความต้องการเราคืออะไร”
“พิงกี้ สาวิกา” เป็นนักแสดงมา 20 กว่าปี มีมุมมองเกี่ยวกับอาชีพนี้อย่างไร
“ตอนเด็กๆ มุมมองการแสดงสำหรับเราเป็นเรื่องการจับพลัดจับผลูอยู่เฉยๆ ก็ได้เข้ามาเล่นอยู่ในกองถ่าย แต่เพิ่งมารู้สึกจริงจังกับการแสดงก็ตอนโตแล้ว คือเรารู้สึกว่ามันเป็นศาสตร์ๆ หนึ่งที่เปรียบเทียบเหมือนกับเราเป็นนักวาดรูป แต่เราใช้ร่างกายใช้จิตวิญญาณและความสามารถส่วนตัวของเราเป็นการระบายสี เราใช้ร่างกายเพ้นท์สี เราใช้จิตวิญญาณเราแสดงเป็นคนๆ หนึ่งที่ไม่ใช่แค่ท่องบทแล้วเข้าฉากเป็นคนนั้นคนนี้ แต่มันมีความลึกซึ้งกว่านั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และเราไม่ได้มองแค่ว่ามารับละครเรื่องหนึ่ง ได้เงิน กลับบ้าน จบ แต่เราคิดว่าเป็นงานที่เรารักค่ะ” พิงกี้-สาวิกา เล่าถึงมุมมองในการทำงาน
“พิงกี้” ทำงานมาตั้งแต่เด็กขนาดนี้ มี Passion ในการทำงานยังไงให้ไม่รู้สึกเหนื่อย
พิงกี้ สาวิกา กล่าวว่า “บอกเลยว่าเมื่อก่อนรู้สึกเหนื่อยมากเพราะเราใช้กำลังภายในไม่เป็น เหมือนคนที่รำไท้เก๊กก็จะใช้พลังข้างใน เราก็ไม่เข้าใจว่าเค้าจะเรียนกันไปทำไมเพื่ออะไร พอโตขึ้น ณ วันนี้ เราไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย ต่อให้จะถ่ายละครทุกวัน มีทุกซีน เพราะกี้ค้นพบเคล็ดลับของตัวเองว่าจะใช้ร่างกายใช้จิตวิญญาณเราในการทำงานยังไง พอผู้กำกับสั่งคัท จบซีน เราทิ้งทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ เราจะไม่เก็บกลับมาบ้านไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น แต่เราจะปล่อยมันไปแล้วเราจะรู้สึกว่าร่างกายรีแล็กซ์ไม่เครียดและไม่เหนื่อยด้วยค่ะ”
มีประสบการณ์เยอะขนาดนี้ “พิงกี้ สาวิกา” เคยคิดอยากเป็นอาจารย์สอนการแสดงบ้างมั้ย
“ไม่เลยค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าทักษะของการสอนเป็นศาสตร์ที่สูง ศาสตร์ที่เราไม่สามารถเข้าไปจับได้ รู้สึกว่ามันละเอียดอ่อนมากทั้งวิธีการหรือลำดับขั้นตอน เราพูดไม่เก่งขนาดนั้นค่ะ แต่ถ้าให้ใช้ประสบการณ์มาร้อยเรียงเป็นคำพูดเท่าที่เราพอจะทำได้ แล้วก็พูดให้เป็นเรื่องง่ายเข้าใจง่าย โดยที่ไม่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าเป็นการยัดเยียดให้เค้านะ แต่เราก็จะเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตสอดแทรกเกร็ดความรู้ให้เค้า เพราะจริงๆ คนเราจะมีแบบอย่างของตัวเองอยู่แล้วว่าอยากจะเป็นแบบไหน แค่อยากให้จริงจังกับการทำงานอย่าฉาบฉวยเพราะผลงานของเราจะอยู่ในสื่อต่างๆ ไปอีก 10 ปี 100 ปีเลยค่ะ” พิงกี้ สาวิกา เล่าถึงวิธีการแนะนำการสอนให้กับผู้อื่น
ตั้งแต่เล่นละครมา มีบทอะไรที่ยากที่สุดในชีวิต
พิงกี้ สาวิกา กล่าวว่า “เอาจริงนะ ถ้าเรารู้หลักการของมันแล้วจะไม่มีอะไรยากเลย เมื่อก่อนเราเคยรู้สึกไม่อยากเล่นเลย มันเครียดมันยากไม่อยากร้องไห้ไม่อยากดราม่า แต่ตอนนี้อะไรก็มาเถอะต่อให้วันนี้จะร้องไห้ 10-20 ซีน ก็ไม่กลัว เพราะเรารู้จักวิธีของมันซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งที่เป็นการค้นพบในตัวเอง หลังจากที่ได้เรียนกับ “หม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล)” เป็นการเรียนรู้ทีละนิดปะติดปะต่อของเราเองแล้วเราลงมือปฏิบัติเลยเข้าใจ เหมือนอารมณ์ยิ่งหนักยิ่งน้อย อย่างเวลาคนร้องไห้หนักๆ มันเกร็งแต่เราจะยิ่งทำอะไรที่หนักให้เบาสบายที่สุด ตัวเราลอยเหมือนเราไม่มีร่างกาย ทำให้เราจะเป็นอะไรก็ได้ในโลกนี้ เล่นเป็นบทคนบ้าก็ได้ เพราะมันจะไม่มีความรู้สึกว่าเราคือตัวเราค่ะ”
รับมือกับกระแสข่าวที่เราเจอมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันยังไงให้เป็นแง่บวก
“กี้ผ่านทุกเรื่องราวมาแล้วตั้งแต่เรื่องดีๆ หรือมีกระแสอื่นมากมายในชีวิต เพราะฉะนั้นกี้ไม่เกรงกลัวกับอะไรแล้ว แต่รู้สึกว่าโชคดีมากที่ในชีวิตได้เจออะไรแบบนั้น ได้เจอกับความผิดหวัง ได้เจอกับความเหนื่อยยากเยอะมากแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีวันนั้นก็จะไม่มีวันนี้ที่แข็งแกร่ง และเราก็จะเป็นแค่นักแสดงหรือดาราคนหนึ่งที่แค่ทำงานแล้วผ่านไป แต่วันนี้เราต้องเป็นนักแสดงที่ให้ผู้คนจดจำและอยู่ในใจของเค้าให้ได้ค่ะ” พิงกี้ สาวิกา กล่าวถึงวิธีรับมือกับข่าวเสียส่งท้ายการสัมภาษณ์
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก @pinkysavika