เปิดประวัติ RS GROUP เส้นทางแห่งการสร้างสรรค์และส่งต่อแรงบันดาลใจไม่รู้จบ
เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่ RS ได้สร้างสรรค์ผลงานแห่งความสุขให้กับผู้คน โดยความสำเร็จนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2519 จากธุรกิจตู้เพลงและการอัดเพลงจากแผ่นเสียงลงตลับเทปภายใต้ตรา “ดอกกุหลาบ” ก่อนจะจัดตั้งเป็นบริษัทชื่อ Rose Sound อย่างเต็มตัวด้วยเงินลงทุน 50,000 บาท
จากนั้นในปี 2525 จึงได้เปลี่ยนธุรกิจมาสู่บริษัทเพลง เพื่อเน้นตลาดวัยรุ่นมากยิ่งขึ้น และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น อาร์.เอส.ซาวน์. โดยศิลปินวงแรกที่อยู่ในสังกัดคือ วงอินทนิน ตามมาด้วยคีรีบูน, ฟรุตตี้, ซิกเซ้นต์, บรั่นดี และเรนโบว์ ค่ายเพลงอาร์.เอส.ซาวน์.ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเพลง สวรรค์เป็นใจ, เหมือนนกไร้ปีก, ความในใจ รวมไปจนถึงอีกหลายเพลงดังในช่วงเวลานั้น
หลังจากนั้นในปี 2527 ค่ายเพลงอาร์.เอส.ซาวน์. ยังได้สร้างปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยอัลบั้ม “รวมดาว” ที่เป็นการรวบรวมศิลปินวัยรุ่นในยุคนั้น มาร้องเพลงเก่าจากสุนทราภรณ์และสามารถสร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และไม่ใช่เพียงแค่วงสตริงจากวัยรุ่นเท่านั้น เพลงไทยลูกทุ่งจากนักร้องชั้นนำ ทั้งยอดรัก สลักใจ, สันติ ดวงสว่าง และเอกชัย ศรีวิชัย ต่างก็ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในปี 2535 ก็ได้เปลี่ยนชื่อจากค่ายเพลงอาร์.เอส.ซาวน์. เป็น “อาร์.เอส.โปรโมชั่น 1992 จำกัด” และได้ย้ายสำนักงานมายังซอยลาดพร้าว 15 ด้วยเงินลงทุน 300 ล้านบาท โดยค่ายเพลงอาร์เอสโปรโมชั่นในตอนนั้นมีห้องบันทึกเสียงระดับมาตรฐานเพื่อรองรับการทำงานถึง 3 ห้อง และได้ประกาศจุดยืนจากบริษัทเพลง มาสู่บริษัทบันเทิงครบวงจร เพราะนอกจากการทำธุรกิจค่ายเพลงอาร์เอส และทำอัลบั้มเพลงเป็นธุรกิจหลักแล้ว อาร์เอสยังรุกเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงในสายงานอื่นๆ ทั้งรายการวิทยุ, รายการโทรทัศน์, ละครทีวีและภาพยนตร์ รวมทั้ง “อาร์เอส สตาร์คลับ” ซึ่งนับเป็นธุรกิจแฟนคลับแห่งแรกของธุรกิจเพลงในเมืองไทยอีกด้วย
ในปี 2538 หลังจากที่ค่ายเพลงอาร์เอส ประกาศจุดยืนว่าเป็นบริษัทบันเทิงครบวงจร ทำให้อาร์เอสก้าวสู่ธุรกิจภาพยนตร์อย่างเต็มตัวภายใต้ชื่อ “อาร์เอส ฟิล์ม” โดยมี “รองต๊ะแล่บแปล๊บ” เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก และตามมาด้วย “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งด้านรายได้และรางวัลและยังคงอยู่ในใจของแฟนคลับมาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งเป็นพื้นฐานแห่งความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องต่อมาอีกมากมาย
จากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในปี 2540 อาร์เอสก้าวสู่สื่อโทรทัศน์อย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดบริษัท “ชาโดว์ เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด” ในฐานะผู้ผลิตคอนเทนต์ และมีรายการ Shock Game เกมโชว์ที่สร้างสีสันและโด่งดังจนเป็น talk of the town ตามมาด้วยรายการวาไรตี้ รายการเพลง มิวสิควีดีโอ และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่อง
จากนั้นในปี 2542 จึงได้มีการจัดขบวนทัพในธุรกิจสื่อวิทยุใหม่ด้วยการจัดตั้ง บริษัท สกาย-ไฮเน็ตเวิร์ก จำกัด และเข้าทำธุรกิจสื่อวิทยุอย่างเป็นทางการโดยรับหน้าที่ผลิตรายการและบริหารคลื่นวิทยุในเครือ 2 คลื่นคือ 98 Cool FM คลื่นเพลง ฟังสบายสำหรับวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานตอนต้น และ 88.5 Z POP We Like คลื่นซ่าของคนรุ่น Z
จากประวัติของ RS ที่เริ่มต้นด้วยธุรกิจตู้เพลง อัดเพลงจากแผ่นเสียงลงตลับเทป สู่การเป็นค่ายเพลงอาร์เอส และบริษัทบันเทิงครบวงจร ทำให้ในปี 2546 บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในนาม “RS” และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)” จากนั้นในปี 2550 อาร์เอสได้ทำการเปลี่ยนโลโก้บริษัทเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี รวมทั้งก่อตั้งบริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดแคสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนต์ จำกัด และบริษัท อาร์เอส ไอดรีม จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจทางด้านกีฬาและโชว์บิซ รวมทั้งลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 สมัย คือปี 2553 และ 2557 และฟุตบอลยูโรในปี 2551 และต่อด้วยการรุกเข้าสู่ธุรกิจดาวเทียม โดยเปิดตัว YOU Channel และ สบายดีทีวีในปี 2552
จากนั้นในปี 2554 ได้ขยายตัวในธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่อง ได้แก่ Yaak TV และช่อง 8 โดยในส่วนของช่อง 8 นั้น ได้สร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ปี 2556 อาร์เอสนับเป็นผู้ผลิตสื่อครบวงจร พร้อมทั้งผลิตสื่อบันเทิงเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจวิทยุ ได้รีแบรนด์ สกายไฮเน็ตเวิร์ค เป็น “คูลลิซึ่ม” และเปิดคลื่นวิทยุใหม่ “คูลเซลเซียส 91.5”
และในปี 2557 จึงได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเต็มรูปแบบ ภายใต้แบรนด์ “ช่อง 8” และในส่วนของ “ช่อง 2” และ “สบายดีทีวี” ยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจทีวีดาวเทียมทั้งยังได้ปรับโฉมคลื่นวิทยุ คูลเซลเซียส 91.5 เป็น COOL Fahrenheit 93 คลื่นเพลงฟังสบายอันดับ 1 ที่มีผู้ติดตามอย่างเหนียวแน่น และในขณะเดียวกันก็เริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
ปี 2559 อาร์เอสเปิดตัวบริษัท “ไลฟ์สตาร์ (Lifestar)” เพื่อขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจสุขภาพและความงาม พร้อมเผยโฉมแบรนด์หลักอย่าง มาจีค กราวีธัส รีไวว์ และ โนเบิลไวท์ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
และเมื่อเข้าสู่ปี 2560 จึงนับเป็นอีกปีหนึ่งแห่งความสำเร็จที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติของ RS กับการขยายธุรกิจคอมเมิร์ซจนมีรายได้เติบโตจากปีก่อนถึง 600% พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง ซึ่งเป็นการดึงศักยภาพของสื่อและธุรกิจบันเทิงในเครือออกมาอย่างเต็มที่ สามารถเปลี่ยนผู้ชมและผู้ฟังเป็นผู้ซื้อได้ นอกจากนี้การเพิ่มฐานข้อมูลลูกค้า การใช้เครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ และการขยายทีมเทเลมาร์เก็ตติ้งเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดสามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จให้แก่บริษัทฯ
ในปี 2561 อาร์เอสได้เปลี่ยนถ่ายเข้าสู่การเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ หรือ MPC อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการบริหารสื่อในมืออย่างมีประสิทธิภาพและยังมีการขยายตัวทั้งในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายและประเภทของผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค
หลังจากนั้นในปี 2562 ธุรกิจคอมเมิร์ซของ อาร์เอส เติบโตอย่างต่อเนื่องและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงรีแบรนด์ “ช้อป 1781” เป็น “อาร์เอส มอลล์” และได้ทำการเปลี่ยนหมวดธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ จาก “สื่อและสิ่งพิมพ์” เป็น “พาณิชย์”
และในปี 2563 นี้ นับเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญในประวัติของ RS ที่ได้ประกาศปรับแบรนด์ใหม่สู่การเป็น “อาร์เอส กรุ๊ป” ยุคแห่ง Entertainmerce โมเดลธุรกิจอันแข็งแกร่งและโดดเด่น พร้อมย้ายสำนักงานใหญ่แห่งใหม่มายังถนนประเสริฐมนูกิจ ทางด้านแบรนด์ “ไลฟ์สตาร์” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่อง 8, คูลลิซึ่ม, และธุรกิจเพลงยังเป็นผู้นำตลาดและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจพาณิชย์เติบโต
ทั้งหมดนี้คือประวัติของ RS GROUP ตลอด 40 ปีแห่งความสำเร็จที่เราได้กล่าวมา ตั้งแต่การเริ่มต้นด้วยค่ายเพลงอาร์เอสในตอนแรก สู่การปรับแบรนด์ในรูปแบบโมเดลธุรกิจ Entertainmerce และ RS ยังคงไม่หยุดเพียงแค่นั้น เพราะอีกหลากหลายโปรเจ็กต์ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ตั้งแต่การกลับมาของค่ายเพลงดังแห่งวงการเพลงป๊อปอย่างค่าย Kamikaze, Rose Sound และการยกระดับค่ายเพลงลูกทุ่งชั้นนำอย่างค่าย RSiam นอกจากนี้ยังได้นำภาพยนตร์เรื่องดังในอดีตอย่าง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” มารีเมคอีกครั้งในเวอร์ชั่นซีรีส์ พร้อมกับ 11 ภาพยนตร์ในตำนานของ RS กลับมาให้ได้ชมกันอีกครั้งบนระบบ OTT ที่ทำให้แฟนๆ อาร์เอสรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา และเรายังมองไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี เพื่อนำไปสู่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน และเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจและความสุขให้กับผู้คนในทุกยุคสมัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด