ลูลู่ลาล่า เติบโตมากับ RS เกือบ 15 ปี เราเห็นพัฒนาการทั้งในแง่ของตัวเอง และบริษัท ในแต่ละยุคก็มีความเปลี่ยนแปลง จนมีการ Rebranding เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Entertainmerce ที่เพลงและพาณิชย์สามารถเดินไปพร้อมๆ กันได้อย่างยั่งยืน
หลายคนคงยังจำภาพของสองสาวคู่ซี้สายฮา “ลูลู่-ลาล่า อาร์สยาม”(ลูลู่-ดวงฤดี บุญบำรุง, ลาล่า-ขวัญนภา เรืองศรี) ที่คนหนึ่งโดดเด่นด้วยดอกไม้สีแดงสดดอกใหญ่บนศีรษะพูดภาษาอังกฤษคำไทยคำแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนอีกคนดูบุคลิกเรียบร้อยพูดน้อยแต่พูดไทยไม่ชัดด้วยสำเนียงต่างชาติเหมือนเพิ่งจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมา พวกเธอคือนางรำดาวเด่นของ วงโปงลางสะออน วงดนตรีพื้นบ้านอีสานที่โด่งดังถึงขีดสุดของ RS ในช่วงปี 2006 ยุคที่เทปผี-ซีดีเถื่อนเฟื่องฟูยิ่งกว่าสิ่งใด เราจึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้พวกเธอมาเป็นแขกรับเชิญคนสำคัญ เรียกได้ว่าสำคัญระดับตำนานที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเพลงค่ายอาร์เอส พร้อมผนวกธุรกิจพาณิชย์ จนก้าวเข้าสู่ Entertainmerce ของ RS Group
ชื่อนี้มีที่มา “ลูลู่-ลาล่า อาร์สยาม”
ลาล่า อาร์สยาม : “เริ่มแรกด้วยคาแรคเตอร์ที่ ลาล่า ชอบพูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ พี่อี๊ดโปงลางสะออน ก็เลยเอามาผสมกับคำที่คนอีสานชอบเรียกเด็กผู้หญิงว่า ‘อีหล่าๆ’ จนกลายมาเป็นภาษาฝรั่ง ลาล่าๆ ชื่อ ลาล่า ก็เลยเป็นที่มาจาก ‘อีหล่า’ ค่ะ”
ลูลู่ อาร์สยาม : “แบบว่าตอนนั้นมีโฆษณาตัวหนึ่งที่เป็นเรื่องตรวจคนเข้าเมือง พี่อี๊ด โปงลางสะออน เลยเอามาแสดงล้อเลียนบนเวทีที่เป็นการแจ้งเกิดให้ ลูลู่ เป็นที่รู้จักค่ะ..
พี่อี๊ด: ‘เป็นคนไทยจริงๆ หรือเปล่า?’
ลูลู่ อาร์สยาม : ‘เปนโคนทายจีๆ’ (เป็นคนไทยจริงๆ).. (หัวเราะ)
พี่อี๊ด : ‘ไหน? ถ้าเป็นคนไทย ร้องเพลงชาติซิ?’
ลูลู่ อาร์สยาม : ‘วานเพญเดือนสิบสอ น้ำก็นองเตตะหลี่ เราท้าหลายชายหญี สนุกกานจี วานลอกะโทง ลอๆกะโทง ลอๆกะโทง’ (เพลงลอยกระทง)
ส่วนการตั้งชื่อ ก็จะตั้งให้เข้ากันกับ ลาล่า คิดกันไปมาก็เลยมาได้ชื่อ ลูลู่ ค่ะ”
เปรียบเทียบความรัก ความผูกพัน ของความเป็น ลูลู่-ลาล่า อาร์สยาม
ลาล่า อาร์สยาม : “ลูลู่ เป็นรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง เป็นทั้งพี่ เพื่อน ครอบครัว เป็นผู้ใหญ่ที่ให้คำปรึกษา ตั้งแต่เราออกจากพี่อี๊ด ก็มี ลูลู่ เป็นไหล่ไว้ให้เราซบเวลาเราท้อแท้หมดกำลังใจ ความรักของเรา หรือการที่เราอยู่ร่วมกันได้คือการให้เกียรติกัน ยอมรับฟังในทุกแง่มุมในทุกคำเตือนของกันและกัน ยอมรับในข้อเสียของตัวเองโดยไม่เก็บคำเล็กคำน้อยมาน้อยอกน้อยใจ แต่เข้าใจว่า สิ่งที่เค้าเตือนเราคือความหวังดี มันจะลดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งตรงนี้ลงได้ค่ะ”
ลูลู่ อาร์สยาม : “เรารู้จักกันมานานมาก ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ลูลู่ เป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยดูแลรุ่นน้องอยู่แล้ว ยิ่งพอเราได้มาทำงานร่วมกัน ก็จะยิ่งคอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือกัน เป็นที่ปรึกษาเวลาทำงาน ไม่ว่าจะทำอะไรเราจะคอยเป็นกระจกส่องให้กัน ใครทำผิดเราก็จะคอยบอกคอยสอน แต่ต้องเปิดใจรับฟังทั้งสองฝ่ายเลยทำให้เราอยู่ด้วยกันได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากครอบครัวแล้วก็มี ลาล่า นี่หละที่คอยเป็นกำลังใจให้ ลูลู่ เสมอไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ จนเราไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไรเลยค่ะ”
ลูล่-ลาล่า เติบโตมากับ RS เกือบ 15 ปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ลาล่า อาร์สยาม : “ลูลู่-ลาล่า หรือว่า โปงลางสะออน ถือว่าเติบโตมากับ RS เกือบ 15 ปี เรามีพัฒนาการในแต่ละปี ทั้งในแง่ของตัวเอง และของบริษัท ในแต่ละยุคก็มีความเปลี่ยนแปลง ช่วงก่อนก็จะเป็นยุคของซีดี มีทั้งเทปผีซีดีเถื่อน ที่เราจะต้องทำงานหนักหน่วงออกมาปกป้องสิทธิ์เพื่อไม่ให้คนอื่นก็อปปี้แผ่นผี จนมาถึงยุคดิจิทัลยุคโซเชียลที่มีการดาวน์โหลดเพลงฟรี เราก็ต้องมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอีกว่าจะทำยังไงถึงจะเข้ามาอยู่ในโลกที่ให้คนเข้ามาดูเราในช่องทางสื่อโซเชียล เพราะตอนนี้ไม่ใช่ยุคของทีวี การปรับตัวของเราเรียกว่ากะทันหันพอสมควร ถือว่าเป็นสิ่งยากสำหรับเรา เพราะเด็กใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งการปรับตัวของเราก็ยังไม่ชินเท่าไร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่ยากขึ้นมา
ส่วนการพัฒนาของ RS เราก็มองเห็นในแต่ละยุคแต่ละปี เห็นว่าทั้ง เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือบุคลากรในบริษัทก็พยายามที่จะดูแลเรา พัฒนาให้ศิลปินได้เติบโต และก้าวผ่านไปในแต่ละยุคให้มีคุณภาพที่สุด พร้อมๆ กับการ Rebranding เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Entertainmerce ที่เพลงและพาณิชย์สามารถเดินไปพร้อมๆ กันได้อย่างยั่งยืนค่ะ”
ลูลู่ อาร์สยาม : “เราสองคนเติบโตมากับ RS เกือบ 15 ปี ตั้งแต่ในฐานะที่เป็นวงโปงลางสะออน ทำงานกันแบบเป็นวง ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ ได้ออกสื่อทีวีเยอะ เลยเป็นที่รู้จักชื่อ พี่อี๊ด ลูลู่ ลาล่า ซึ่งเราก็ต้องแข่งขันกับตัวเองด้วยว่าเราพัฒนายังไง เพราะยุคนั้นใครๆ ก็ดูซีดีกัน แต่สมัยนี้เป็นยุคออนไลน์ และโซเชียล เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้อยู่ในยุคใหม่ ทำยังไงให้อยู่ในหน้าสื่อโซเชียลตลอดเวลา แต่เราโชคดีที่ยังมีบริษัทดูแลเรา ให้โอกาสเราทุกๆ สิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานละคร งานพิธีกร หรือเดินสายโปรโมท ฉะนั้นเราก็ต้องพัฒนาผลงานตัวเองให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ”
คิดยังไงที่ RS ปรับธุรกิจบันเทิงกับธุรกิจพาณิชย์เข้าด้วยกันเป็น Entertainmerce
ลาล่า อาร์สยาม : “ในการปรับธุรกิจเพลงกับธุรกิจขายของ ณ ทุกวันนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจว่าโลกโซเชียลมีอิทธิพลมาก การทำสื่อ 1 ช่อง เพลง 1 เพลง ละคร 1 เรื่อง เราก็ต้องอาศัยสปอนเซอร์ จึงจะมีงบประมาณมาผลิตชิ้นงานต่างๆ ได้ ลาล่า ก็มองว่ามันก็เป็นการทำธุรกิจร่วมที่จำเป็นสำหรับยุคนี้ เพราะทางพาณิชย์ก็ต้องการสินค้าที่มียอดขาย ส่วนตัวเราที่ต้องการจะผลิตงาน ก็ต้องใช้งบประมาณมาเพื่อสนับสนุนงานเพลง งานละคร ฉะนั้นในการปรับรูปแบบธุรกิจ Entertainmerce ของRS ตรงนี้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้บริษัทดำเนินต่อไปได้ และเหมาะกับยุคสมัยค่ะ”
ลูลู่ อาร์สยาม : “RS เราก็ต้องปรับตัวอยู่แล้วค่ะช่วงนี้ ยุคนี้ไม่ใช่เหมือนสมัยเมื่อก่อนแล้ว ที่เราดูแต่ทีวี ฟังเพลงก็ยังซื้อแผ่นซีดี/วีซีดีมาดู แต่สมัยนี้ทุกคนมีมือถืออยู่กับตัวก็สามารถทำได้ทุกอย่างทั้งทำงานทำเงิน มันก็เป็นสิ่งดีที่เราก็ต้องประยุกต์ให้เข้ากับโลกของเราให้มากที่สุด และเราก็ต้องพัฒนาหากลวิธีให้ธุรกิจเติบโต ให้คนอื่นมาซื้อสินค้าของเราเยอะๆ และอยู่ไปให้ได้ยาวที่สุด ส่วนตัว ลูลู่ เองก็เหมือนกันค่ะ ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้แฟนๆ เข้ามาดูเราเยอะๆ เช่นกันค่ะ”
ลูลู่-ลาล่า อาร์สยาม ได้เป็นทั้งนักร้อง นักแสดงแล้ว ในอนาคตอยากเป็นอะไรอีก
ลาล่า อาร์สยาม : “ในช่วงโควิด-19 ก็สอนให้เรารู้ว่าการมีแค่อาชีพเดียว อาจจะทำให้เราเอาตัวไม่รอด ต้องมีมากกว่า 1 อาชีพ ซึ่งก็อยากเป็น นักธุรกิจ ตอนนี้ของลูลู่-ลาล่า ก็มีธุรกิจร่วมกันก็คือน้ำปลาร้า และแจ่วบอง ‘ลู่ล่าปลาร้าแซ่บเว่อร์’ และอีก 1 อย่างที่ทำกับคู่หู (หัวเราะ) คือ‘พี่เล็ก-เจษฎา’ คือผลิตภัณฑ์ ‘เล็กล่าหมูแดดเดียว’ นะคะ ที่ทำแนวอาหารเพราะเป็นปัจจัยที่ทุกคนต้องกินตลอด และต้นทุนไม่สูงมาก เป็นการลองให้ตัวเองได้รู้ว่าการทำธุรกิจมันต้องทำยังไง เมื่อเก่งแล้ว เราค่อยขยายให้มันใหญ่ขึ้น หรืออาจจะมีสินค้าอย่างอื่นเกี่ยวกับความสวยความงาม สถานการณ์ตอนนี้อาชีพหลักๆ ก็คงต้องทำธุรกิจแล้วล่ะ เพราะว่าในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ หรือภาวะต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกของเรา มันเดาไม่ออกแล้วนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ น่าจะเป็นการทำเกี่ยวกับธุรกิจหรือว่าเกี่ยวกับของกินที่เราต้องใช้ยังชีพอยู่ตลอดค่ะ”
ลูลู่ อาร์สยาม : “ตอนนี้ถือว่าเราโชคดีนะคะที่มีผู้ใหญ่ให้โอกาสหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องงานเพลง งานละคร แต่ถ้าถามว่าอยากเป็นอะไรอีก ก็ตอบว่าอยากเป็นนักธุรกิจที่เก่งที่สุด เพราะเห็นนักธุรกิจหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จ ก็เลยอยากเรียนรู้อยากทำอะไรให้มีกำไรร้อยล้านพันล้านเหมือนเค้า อยากค้นหาตัวตน อยากมีธุรกิจส่วนตัว นอกเหนือจาก ‘ลู่ล่าปลาร้าแซ่บเว่อร์’ แล้วก็อยากเป็นเจ้าของร้านอาหาร เพราะเราชอบบริการคน ชอบทำกับข้าว ซึ่งที่ผ่านมาก็จะคิดค้นสูตรด้วยตัวเอง อันไหนอร่อยก็เอามาเสิร์ฟ อันไหนไม่อร่อยก็เททิ้งไปค่ะ (หัวเราะ)”