“..ดิวเป็นคนประเภทที่ชอบเอาแรงกดดัน และคำด่า มาทำอะไรที่แตกต่าง ซึ่งต้องย้อนกลับไปขอบคุณคนที่ว่าเราด้วยซ้ำ ถ้าดิวไม่มีแรงผลักแบบนั้น ดิวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้..”
ในบางครั้ง บทบาทเบื้องหน้าที่เราเห็น กับเบื้องหลังที่เป็นจริง อาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเสมอไป เช่นเดียวกับนางร้ายหน้าสวย “ดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์” ที่ให้เกียรติมาพูดคุยกับเราในวันนี้ที่กองถ่ายทำละคร “ปอบผีเจ้า” ทาง “ช่อง 8” ซึ่งเธอออกปากยอมรับ และกล้าพูดว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทการแสดงที่ท้าทาย เธอบอกว่าเป้าหมายและแรงบันดาลใจในการทำงานตอนนี้ของเธอ อาจไม่ใช่การหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป แต่เป็นความสุขที่ได้อยู่ในสังคม และท่ามกลางผู้คนที่เธอรัก ซึ่งจากประสบการณ์ที่สั่งสม ผ่านเรื่องราวและมรสุมในชีวิตมาหลายครั้ง จึงกล่าวได้ว่า “ดิว-อริสรา” เป็นนักแสดงสาวสวยมากฝีมือที่มีแพชชั่นหรือแรงผลักดันในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกับหนึ่งในค่านิยมองค์กรที่ผู้บริหารและพนักงานของ RS GROUP ยึดถือปฏิบัติ นั่นคือมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ สามารถเปลี่ยนปัญหาหรืออุปสรรคที่เข้ามาให้กลับกลายเป็นพลังบวกในการทำงาน และฟันฝ่าจนผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับได้ในที่สุด
ย้อนรอยเส้นทางและประวัติ ‘ดิว อริสรา’ กว่าจะมาเป็นดาราดัง
“ดิวได้เข้ามาเป็นนักแสดงจากการไปเดินที่สยามค่ะ สมัยก่อนจะมีร้านถ่ายรูปแบบ u smile ไม่รู้ทันกันมั้ยสมัยนั้น เราก็จะเข้าไปถ่ายรูป แล้วก็มีโมเดลลิ่งเห็น เค้าก็ให้เราเริ่มเคสติ้งพวกโฆษณาต่างๆ จากนั้นก็ได้โฆษณาสินค้าเต็มไปหมดเลย และถึงเริ่มมีโอกาสได้มาแสดงหนัง จนซึมมาละคร และเอ็มวี ซึ่งทั้งหมดก็ใช้เวลาสักพักเลยนะคะ กว่าจะก้าวมาถึงตรงนี้ จำได้ว่าสมัยเป็นเพื่อนกับ กุ๊บกิ๊บ (สุมณทิพย์ ชี) ตั้งแต่เด็กๆ เรานั่งรอเคสติ้งกันเป็นหลายร้อยคนเลย เคยเล่นเอ็มวีกับ กุ๊บกิ๊บถ่ายถึงเที่ยงคืน แล้วได้ตังค์ 3,000 บาท กรี๊ดกร๊าดกับกิ๊บแบบดีใจกันมากๆ” ดิว อริสรา กล่าว
ให้สาวดิว อริสราลองเล่าถึงที่มาของฉายา “นางร้ายหน้าสวย”
“เอาจริงๆ คนที่เป็นนางร้าย ก็สวยทุกคนแหละค่ะ แต่เราก็คงเป็นอีกหนึ่งคนที่ทุกคนมองแบบนั้น ก็ต้องขอบคุณ แต่ว่าที่มาในอีกแบบหนึ่งก็ได้มาจากคลินิกต่างๆ เราก็เลยกลายเป็นนางร้ายหน้าสวย (หัวเราะ) และอีกอย่างคือจากการที่เราได้ดูแลตัวเองมากขึ้น จากเมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจ แต่เดี๋ยวนี้ คิดว่าดิวค่อยข้างดูแลตัวเองดีประมาณหนึ่ง เช่นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีสำหรับผิวหน้าเราและทานวิตามินบ้าง ปกติดิวก็เป็นคนที่ชอบกินผลไม้อยู่แล้วด้วย หลังๆ มานี้ดิวก็เลยเริ่มหันมาดื่มน้ำเยอะขึ้น จากที่เป็นคนไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเปล่า
โดยเราก็จะเริ่มดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกด้วย การดูแลภายนอกของดิวคือจะมาส์กหน้าบ่อยมาก ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่จะมาส์กแค่วันละ 1 แผ่น แต่ดิวจะมีทั้งครีม และแผ่นมาส์กเยอะ ถ้ารู้สึกว่าวันนี้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น ก็จะมาส์ก 4 ตัวเลย ใช้เวลาแผ่นละ 20 นาทีเสร็จแล้วล้างออก แล้วมาส์กตัวอื่นต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าหน้าเราดีขึ้น เพราะปีนี้ เราก็ใกล้เข้าอายุ 30 ปีแล้ว ก็กลัวว่าจะไม่เป็นแบบนี้ในอนาคตค่ะ” นางร้ายหน้าสวยดิว อริสรากล่าวกับช่อง 8
ประสบการณ์สุดประทับใจในวงการบันเทิง
“ความประทับใจคือการที่ดิวได้เจอผู้คนที่เยอะขึ้น เจอคนที่นิสัยดีเป็นกันเอง ซึ่งบางคนอาจจะพูดว่าวงการบันเทิงคือโลกมายา ไม่มีอะไรเป็นความจริง แต่ใครจะไปรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราแต่ละคนที่เราทำงานร่วมกัน อย่างพี่ๆ ในกองถ่าย พีอาร์ หรือใครก็ตาม มันไม่ใช่การหลอกลวง ดิวว่าพวกเราก็จริงใจ และพยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดี ซึ่งถ้าวันนี้ดิวยังเป็นแค่เด็กมัธยมที่ไปแค่โรงเรียน วงการมายาสำหรับเราอาจเป็นแค่สิ่งปลอมๆ ที่เราต้องแสดง แต่พอมาวันนี้อายุมากขึ้น ทัศนคติในเรื่องนี้เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ดิวรู้สึกว่าบางครั้งการที่ดิวมาใช้ชีวิตอยู่ในกองละครมันไม่น่าเหนื่อยใจเท่ากับการใช้ชีวิตอยู่ ในชีวิตจริงที่ต้องเจอกับใครที่เข้ามาหาเราด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ เพราะจุดที่เราอยู่เป็นนักแสดง ก็จะมีคนเข้าหาเราแบบแปลกๆ มีทั้งคนหวังดี ไม่หวังดี ดิวว่าคนพวกนั้น หนักยิ่งกว่าการที่เราอยู่ในวงการนี้อีก เลยเป็นคำตอบที่ว่าทุกวันนี้ที่ดิวยังเล่นละครอยู่เพราะมีความประทับใจ มีความสุขกับการที่ได้มาเจอคนที่ดิวคลิก และเอ็นจอยไปด้วยกันค่ะ”
วางเป้าหมายในชีวิตการทำงานอย่างไร
นางร้ายหน้าสวย ดิว อริสรา กล่าวว่า “จริงๆ แล้ว ดิวล้ำเป้าหมายของตัวเองไปแล้วค่ะ เรียกว่าเรามาไกลเกิน จากที่ไม่เคยมีความคิด ความฝันว่าดิวจะเป็นนักแสดง หรือเป็นดาราเลย ทุกวันนี้ดิวเลยเลือกที่จะทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ไม่ใช่เลือกทำเพราะเงิน ไม่ใช่เหตุผลที่ทำเพราะหาเลี้ยงชีพตัวเอง อย่างละครเรื่อง ปอบผีเจ้า ทาง ช่อง 8 ที่กำลังถ่ายทำ เป็นบทที่จะต้องแต่งตัวแบบอีสาน และพูดอีสาน ก็รู้สึกอยากเล่น ไม่ต้องติดต่อเลย ดิวขอเล่นเอง คือดิวเลือกที่จะทำอะไรแล้วมีแพสชั่น (แรงผลักดัน) ทำแล้วมีความสุขค่ะ”
“ส่วนการทำงานด้านธุรกิจอื่นๆ ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่น Omakase กับธุรกิจอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งก็โอเคลงตัวในจุดที่เราอยู่ ก็เลยรู้สึกว่าเป้าหมายในด้านการงานของดิวมันลดน้อยลง และอยากหาความสุขให้กับตัวเองมากขึ้น อาจเป็นเพราะเราทำงานไว เราเริ่มถ่ายโฆษณาหาเงินตั้งแต่เด็กๆ จำได้เลยเมื่อก่อน โฆษณาตัวหนึ่งที่ได้สองแสนบาท ในตอนอายุ 16 ปี ก็เยอะมากแล้ว มาถึงตอนนี้ เราก็เริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตเรา เราอยากทำอะไรก็ตามที่เรามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในวงการบันเทิง หรือเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งโดยชีวิตส่วนตัว ดิวเป็นคนใช้เงินเยอะ เพราะชอบช้อปปิ้งใช้ของแบรนด์เนมแต่คำว่าสุรุ่ยสุร่าย คือหมายถึงว่า เรามีเงิน 5,000 แล้วเราใช้ 10,000 แต่ดิวจะรู้ตัวว่าเวลาเราอยู่ในโหมดที่ใช้เงินเยอะ เราก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะด้วย”
“แต่กว่าจะมาถึงโหมดนี้ มันก็เคยเจ็บมาก่อน เช่น เราเคยเป็นคนเลือกที่จะซื้อกระเป๋า แทนที่จะซื้อบ้านซื้อรถให้แม่ ยอมใช้กระเป๋า Croc Hermes ใบละ 3 ล้าน! ทั้งๆ ที่รถแม่ก็ยังเก่าอยู่เลย และตัวเองก็ยังขับรถราคาเดียวกับกระเป๋าอยู่ จนเราเจอกับหลายๆ เหตุการณ์ อย่างพ่อป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ต้องมีค่าใช้จ่าย 7 ถึงเกือบ 8 หลัก ซึ่งตอนนั้น เราไม่ได้มีเงินเก็บเยอะ เพราะเรามัวแต่ไปช้อปปิ้งเลยทำให้เราเปลี่ยนตัวเอง และเริ่มคิดได้มากขึ้น ลงทุนกับอะไรที่ควรลงทุนมากขึ้น และเซฟตัวเองมากขึ้น”
ที่ผ่านมา มีเรื่องคำครหานินทาเยอะมาก จัดการกับความรู้สึกตัวเองอย่างไร
“ดิวเป็นคนที่ชอบแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็มีร้องไห้บ้าง แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองด้วย ข้อดีคือดิวเป็นคนฮึดสู้ คนเราจะมี 2 ประเภท บางคนเจอสิ่งเลวร้ายมาก็ชอบกดตัวเองให้ยิ่งแย่ ไม่เป็นกำลังใจให้ตัวเอง มันก็จะยิ่งทำให้เรายิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ แต่ดิวเป็นอีกประเภทคือชอบเอาแรงกดดัน หรือเอาเรื่องลบต่างๆ มาทำอะไรที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านั้น เช่น ถูกกล่าวหาว่าคบผู้ชายรวยเพราะตัวเองจะได้สบาย ดิวยิ่งต้องพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่สิ่งนั้น แต่ดิวจะไม่คร่ำครวญว่าทุกคนว่าฉันเป็นแบบนี้ หรืออะไรที่เคยโดนว่าต่างๆ นานา ดิวก็จะทำอะไรที่มันตรงข้าม ซึ่งพอชีวิตเรามาถึงขนาดนี้ เราต้องย้อนกลับไปขอบคุณคนพวกนั้นด้วยซ้ำ ถ้าดิวไม่มีแรงพุช (แรงผลักดัน) แบบนั้น ดิวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ ถึงทุกวันนี้ยังมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจเรา แต่เราก็จะคิดซะว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด หรือยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดิวจะหันมามองตัวเองว่าทุกวันนี้เราทำดีหรือยัง เรามีความสุขดีมั้ย ถ้าทุกอย่างดี คนที่เรารักยังดีอยู่ เราก็จะข้ามทุกอย่างไปไวมากกับคนเหล่านั้น อย่างเมื่อ 7-8 ปีก่อน ดิว โดนด่าเยอะมาก ตามคอมเมนต์ต่างๆ แต่พอถึงวันที่เราไม่สนใจ ก็ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ แต่ในขณะเดียวกัน ดิวก็ไม่ใช่คนดีแบบแม่พระนะคะ ถ้ามีคนมาทำไม่ดี ดิวตอบโต้แน่นอน เพราะดิวเป็นคนตรงๆ และจริงใจกับความรู้สึกของตัวเองมากๆ แต่ทุกอย่างที่ทำต้องมีเหตุผลค่ะ”
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก “ดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์” และ IG @duearisara